นายธนโชติ บุญมีโชติ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เปิดเผยแผนงานในปี 65 ว่าได้ดึง มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่เพื่อตอกย้ำและสร้างการรับรู้ ในแบรนด์คิวเฟรชให้มากขึ้นทางแบรนด์ เพราะมอสตรงกับบุคลิกภาพของแบรนด์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์คิวเฟรชเป็นอาหารทะเลแช่แข็งกลุ่มเป้าหมายหลัก คือกลุ่มครอบครัว และแม่บ้านที่ซื้อผลิตภัณฑ์ไปปรุงอาหารสำหรับรับประทานในครอบครัวโดยมีช่วงอายุระหว่าง 30-50 ปีคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
นอกจากนี้มอสเป็นนักร้องและเอ็นเตอร์เทนเนอร์ที่ดี ทางแบรนด์คิวเฟรชจึงเลือกเพลง “ด้วยรักและปลาทู” แต่นำมาดัดแปลงใหม่เป็นเพลง “ด้วยรักและปลากะพง” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทางแบรนด์ต้องการโปรโมตและสื่อสารไปยังผู้บริโภค ให้จดจำได้ง่าย และด้วยทำนองเพลงที่สนุกสนานมีท่าเต้นที่สามารถเต้นตามได้ จึงนำไปทำแคมเปญชาเลนจ์ใน TikTok ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียช่องทางใหม่ที่กำลังมาแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้แบรนด์สื่อสารไปยังกลุ่มที่มีอายุเด็กลง (25-30 ปี) ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่วางตลาดนี้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้เพราะเพียงละลายสินค้า เอาเข้าหม้อทอดไร้น้ำมัน หรือไมโครเวฟแล้วราดน้ำจิ้มก็พร้อมทานได้ทันที
ทางด้าน นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกุ้ง และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง บมจ.ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ปกล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนมีความมุ่งมั่นในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนทั่วโลกและในฐานะที่เป็นบริษัทของคนไทย จึงอยากให้คนไทยได้บริโภคอาหารทะเลที่มีคุณภาพ และอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการเช่นเดียวกันซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ ‘คิวเฟรช’ (Qfresh) ที่มีจุดแข็งคือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีคุณภาพ พิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบทุกขั้นตอนการันตีด้วยมาตรฐานการผลิตเดียวกัน ทั้งสินค้าภายในประเทศและสินค้าส่งออกไปทั่วโลก ด้วยการรับรองคุณภาพระดับสากล นับตั้งแต่ในปี 2560 เป็นต้นมาคำพูดจาก สล็อตออนไลน์
“ที่ผ่านมาพันธมิตรทางธุรกิจหลักในประเทศ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจจัดเลี้ยงโรงแรม และร้านอาหาร โดยมีสินค้าหลักเป็นอาหารทะเลแช่แข็ง ซึ่งมีจุดเด่นคือคุณภาพคงที่ง่ายต่อการจัดเก็บและการบริหารจัดการสต๊อก ยิ่งไปกว่านั้นสินค้าภายใต้แบรนด์คิวเฟรช ยังมีคุณภาพและเนื้อสัมผัสที่ดีใกล้เคียงกับของสดด้วย ส่งผลให้ยอดขายของแบรนด์คิวเฟรช เติบโตต่อเนื่องทั้งช่องทางการขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 65 ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท และมากกว่า 500 ล้านบาทภายในปี 68”